11 Jul ผล TE Index สองไตรมาส – ขยับขึ้นทุกภาค ประชาชนยังมาแรง เอกชนรอง รัฐรั้งท้าย
ผลเท่ อินเด็กซ์ เปรียบเทียบสองไตรมาส คะแนนดีขึ้นทั้งสามภาค ภาคประชาชนตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ดีสุด ภาคเอกชนได้คะแนนประสิทธิภาพและความเป็นมืออาชีพเพิ่มขึ้นชัดเจน ส่วนภาครัฐไม่น้อยหน้าได้คะแนนการปลอดคอร์รัปชั่นเพิ่มขึ้นมากที่สุด
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประธานสภาปัญญาสมาพันธ์เพื่อการสร้างชาติ และประธานอำนวยการบริหารจัดทำดัชนีประสิทธิผลประเทศไทย (เท่ อินเด็กซ์) แถลงผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อประสิทธิผลประเทศไทย ในช่วงสองไตรมาส พบว่า ทุกภาคส่วนได้คะแนนรวมเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรก คิดเป็นร้อยละ 5.3 และเมื่อเปรียบเทียบดัชนีประสิทธิผลภาครัฐ (PBE Index) ดัชนีประสิทธิผลภาคเอกชน (PVE Index) และดัชนีประสิทธิผลภาคประชาชน (PPE Index) พบว่า ในภาพรวมองค์กรภาคประชาชนยังคงมีคะแนนประสิทธิผลในการขับเคลื่อนประเทศให้เกิดการพัฒนาสูงสุด โดยได้คะแนนร้อยละ 70.7 (เพิ่มขึ้น 4.45%) ภาคเอกชนรองลงมา ร้อยละ 66.9 (เพิ่มขึ้น 5.98%) ส่วนภาครัฐน้อยที่สุด ร้อยละ 57.7 (เพิ่มขึ้น 5.58%)
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบการสำรวจระหว่างไตรมาสหนึ่งกับไตรมาสสอง ในปัจจัย 7 ด้านหลัก เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ประชาชนได้ให้คะแนนภาคประชาชนสูงกว่าดัชนีอื่นในทุกปัจจัย แต่ระดับการเพิ่มของคะแนนเมื่อเทียบระหว่างไตรมาสมีความแตกต่างกัน พิจารณาในแต่ละปัจจัยได้ดังนี้
ปัจจัยด้าน การตอบสนองความต้องการประชาชน ผลสำรวจพบว่า ภาคประชาชนได้คะแนนสูงสุด (72.6%) และได้คะแนนไตรมาสนี้เพิ่มสูงกว่าภาคอื่นด้วย เหตุผลน่าจะเกิดจาก การที่องค์กรภาคประชาชนทำงานใกล้ชิดประชาชนในระดับพื้นที่ สามารถเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาของประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ประชาชนสามารถที่จะเข้าถึงได้สะดวกกว่าองค์การภาคส่วนอื่น
ปัจจัยด้าน พันธมิตรและการบูรณาการ ผลสำรวจพบว่า ภาคประชาชนได้คะแนนสูงสุดและภาครัฐได้คะแนนน้อยสุด แต่ปรากฎสัดส่วนการเพิ่มขึ้นของคะแนน ภาครัฐทำได้ดีกว่าภาคเอกชนอย่างมาก แสดงให้เห็นว่าในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ประชาชนรับรู้ได้ว่า หน่วยงานภาครัฐได้ปรับตัวไปทำงานร่วมกับหน่วยงานภาคส่วนอื่นโดยเฉพาะกับภาคประชาชนเพิ่มขึ้นผ่านนโยบายประชารัฐ อาทิ ความร่วมมือสู้ภัยแล้ง ร่วมมือพิทักษ์ป่า เป็นต้น
ปัจจัยด้าน ประสิทธิภาพ ผลสำรวจพบว่า แม้ว่าภาคประชาชนจะได้คะแนนสูงสุด แต่การเพิ่มของคะแนนกลับได้เป็นอันดับท้ายสุด ขณะที่ภาคเอกชน ได้คะแนนเพิ่มขึ้นถึง ร้อยละ 8.7 เห็นได้ชัดเจนว่าภาคเอกชนได้รับการยอมรับจากประชาชนว่ามีการพัฒนาด้านประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับการจัดอันดับของ IMD ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 28 ดีขึ้นจากปีที่แล้วถึง 2 อันดับ โดยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจมีอันดับดีขึ้น ทั้งปัจจัยย่อยด้านผลิตภาพและประสิทธิภาพ ตลาดแรงงาน ทัศนคติและค่านิยม
ปัจจัยด้าน ปลอดคอร์รัปชั่น ผลสำรวจพบว่า ภาครัฐมีคะแนนการปลอดคอรัปชั่นเพิ่มขึ้นมากที่สุด (เพิ่ม 5.2%) เมื่อเทียบกับภาคส่วนอื่น ซึ่งสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงในไตรมาสที่ผ่าน โดยจะเห็นได้ว่า รัฐบาลมีโครงการปราบปรามผู้มีอิทธิพล ซึ่งสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีระบุถึงพฤติกรรมของผู้มีอิทธิพลอย่างหนึ่งคือ การฮั้วประมูลงานราชการ ซึ่งจะเป็นการตัดวงจรคอรัปชั่นได้ หรือในการพยายามดำเนินคดีฉ้อโกงของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น โครงการไฟประดับของ กทม. และข่าวการปลอดคอรัปชั่นของอุทยานราชภักดิ์ ประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้ได้สร้างการรับรู้ให้กับประชาชนถึงความพยายามของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาคอรัปชั่นอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยด้าน ความเป็นมืออาชีพ ผลสำรวจพบว่า ภาคเอกชนมีคะแนนในด้านความเป็นมืออาชีพเพิ่มมากสุด โดยได้คะแนนเพิ่มมาใกล้เคียงกับภาคประชาชน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ประชาชนมองว่าการทำงานของหน่วยงานทั้งภาคเอกชนและประชาสังคมได้บุคคลากรที่มีความรู้ความชำนาญในเรื่องที่ตนเองดำเนินการ โดยเฉพาะภาคเอกชนมีความสามารถในการปรับตัวในการตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างดี มีการพัฒนาในด้านการตอบสนองลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
ปัจจัยด้าน ความโปร่งใส ผลสำรวจพบว่า ภาครัฐและภาคเอกชนมีคะแนนเพิ่มสูงขึ้นใกล้เคียงกัน โดยในส่วนของภาครัฐ ที่ผ่านมาได้มีความพยายามในการสร้างความโปร่งใสอย่างเป็นรูปธรรม ดังปรากฎเป็นข่าวอยู่หลายเรื่อง เช่น การเผยแพร่ข้อมูลการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ การเปิดทางให้ภาคเอกชนเข้าร่วมเป็นคณะทำงานในการตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ เป็นต้น
ปัจจัยด้าน ความรับผิดรับชอบ ผลสำรวจพบว่า ภาคเอกชนมีคะแนนเพิ่มสูงกว่าภาคส่วนอื่น ซึ่งอาจเกิดจากการรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับความรับผิดชอบของภาคเอกชนในช่วงที่ผ่านมา อาทิ การยอมจ่ายค่าประกันประมูลของ บริษัท แจส โมบาย บรอดแบนด์ จำกัด ในการประมูลคลื่นความถี่ 4G เป็นต้น
จากผลเท่ อินเด็กซ์ ทั้งสามภาคส่วนเปรียบเทียบทั้ง 7 ปัจจัย ได้สะท้อนให้เห็นถึงการรับรู้และความคิดของประชาชนที่มีต่อภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในแต่ละช่วงเวลา ส่งผลให้แต่ละภาคส่วนเห็นความเปลี่ยนแปลงของทัศนคติ ความต้องการและความคาดหวังของประชาชนที่มีต่อการดำเนินภารกิจของตน อันจะนำไปสู่การปรับปรุงและพัฒนาให้เกิดประสิทธิผลที่ประชาชนพึงพอใจมากยิ่งขึ้น
No Comments